Blog

  • CSS : เมื่อต้องเจอปัญหากับ IE

    CSS : เมื่อต้องเจอปัญหากับ IE

    เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่เขียน CSS กันมา ต้องเจอปัญหาว่า ทำไมเขียน CSS มาแล้ว แต่ละ Browser ถึงแสดงผลมาไม่เหมือนกัน และในบรรดา Browser ทั้งหลาย Browser ที่มีปัญหามากที่สุด ก็คงไม่พ้น Internet Explorer หรือที่เราเรียกกันว่า IE

    ผมเองก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอะไร IE ต่าง ๆ ถึงมีปัญหาในการแสดงผลที่แตกต่างกับชาวบ้านเค้า แถมตัว IE เองแต่ละเวอร์ชั่นก็มีการแสดงผลที่แตกต่างกันเองอยู่ด้วย แล้วเราจะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรกันบ้าง มาลองดูกันครับ

    CSS : สร้างเงื่อนไขให้ Tag html

    [html]
    <!–[if lt IE 7]> <html class="ie6"> <![endif]–>
    <!–[if IE 7]> <html class="ie7"> <![endif]–>
    <!–[if IE 8]> <html class="ie8"> <![endif]–>
    <!–[if !IE]><!–> <html> <!–<![endif]–>
    [/html]

    กำหนดเงื่อนไขเลยครับ ว่าถ้าเป็น IE ที่เวอร์ชั้นตำกว่า 7 ให้ tag html นั้นมี class เป็น ie6 แล้วก็เขียนไล่ลำดับมาจนถึงว่า ถ้าไม่ใช่ IE ถึงจะแสดงผลมาเป็น tag html ที่ไม่มี class อะไร แล้วหลังจากนั้นเราจึงไปเขียน CSS ให้กับ element ที่มีการแสดงผลที่ไม่เหมือนชาวบ้าน อย่างเช่น

    [css]
    .box {margin-bottom:20px;}
    .ie6 .box {margin-bottom:5px;}
    .ie7 .box {margin-bottom:10px;}
    .ie8 .box {margin-bottom:15px;}
    [/css]

    คือ .box ทั่วไปให้มี margin-bottom เท่ากับ 20px แต่ถ้าเป็นใน IE6 ให้มี margin-bottom แค่ 5px ใน IE7 ให้มี margin-bottom แค่ 10px และใน IE8 มี margin-bottom แค่ 15px

    CSS : กำหนดเงื่อนไขในการเรียกใช้ CSS

    [html]
    <link rel="stylesheet" type="text/css" media="screen" href="css/style.css" />
    <!–[if lt IE 7]><link rel="stylesheet" type="text/css" media="screen" href="css/ie6.css" /><![endif]–>
    <!–[if IE 7]><link rel="stylesheet" type="text/css" media="screen" href="css/ie7.css" /><![endif]–>
    <!–[if IE 8]><link rel="stylesheet" type="text/css" media="screen" href="css/ie8.css" /><![endif]–>
    [/html]

    วิธีนี้จะคล้าย ๆ กับวิธีแรกแต่ต่างกันที่วิธีแรกจะกำหนด class ให้กับ Tag html แต่วิธีนี้เราจะกำหนดให้แต่ละ Browser เรียกใช้ CSS ที่แตกต่างกันครับ ข้อสำคัญคือ เราจะต้องเรียกใช้งาน CSS หลักของเราก่อนบรรดา CSS ที่เป็นเงื่อนไขนะครับ

    CSS : Hack CSS สำหรับ IE

    สำหรับกรณีที่เราไปเปลี่ยนแปลง Code HTML ไม่ได้ งั้นมาแก้ไขที่ตัว CSS แล้วกัน ด้วยการ Hack CSS สำหรับ IE โดยเขียนแบบนี้

    [css]
    .box {margin-bottom:20px;} /* ทุก browsers */
    * html .box {margin-bottom:5px;} /* สำหรับ IE6 */
    *+html .box {margin-bottom:10px;} /*สำหรับ IE7 */
    .box {margin-bottom:20px\0/;} /* สำหรับ IE8 */
    [/css]

    ทุกคนก็ลองเอาไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับเรามากที่สุดแล้วกันนะครับ

  • วิธีใช้ WordPress ตอนที่ 9 – วิธีติดตั้ง Plugins

    วิธีใช้ WordPress ตอนที่ 9 – วิธีติดตั้ง Plugins

    หลังจากที่เราใช้งาน WordPress มาซักพัก เราคงรู้สึกอยากให้เว็บเรามีนั่นเพิ่ม มีนี่เพิ่ม ซึ่งสิ่งที่เราอยากได้เพิ่มนั้น ส่วนใหญ่ก็จะมีคนที่อยากได้สิ่งนั้นเพิ่มคล้าย ๆ กับเรา ก็เลยมีการทำออกมาเป็น Plugins

    วิธีใช้ WordPress : หัวข้อ Plugins

    รูปอธิบายหัวข้อ วิธีใช้ WordPress [1]
    หน้าตาของหัวข้อ Plugins

    ให้เราเลือกที่หัวข้อ Plugins ที่ตำแหน่งที่ 1 นะครับ ในหน้าของ Plugins นั้น มีหัวข้อย่อย ๆ ให้เลือก คือ

    • Search : เราสามารถ Search หา Plugins ที่เราต้องการได้ตามชื่อของ Plugins ในบริเวณตำแหน่งหมายเลข 3
    • Upload : ในกรณีที่เรา Download File Plugins ตัวนั้นมาลงเครื่องไว้แล้ว จะใช้การ Upload File เพื่อติดตั้ง Plugins ตัวนั้น ๆ
    • Featured : เป็น Plugins ที่ทาง WordPress คัด ๆ มาว่าน่าสนใจ
    • Popular : เรียงลำดับ Plugins จากจำนวนของผู้ที่ Download Plugins ตัวนั้น ๆ มาใช้งาน
    • Newest : เรียงลำดับ Plugins จากการ Upload
    • Recently Updated : เรียงลำดับ Plugins จากการ Update ตัว Plugins

    วิธีใช้ WordPress : ติดตั้ง Plugin โดยวิธีการ Search

    สมมติว่าผมอยากลง Plugin ชื่อ WP-PageNavi ผมก็ Search คำว่า wp pagenavi

    รูปอธิบายหัวข้อ วิธีใช้ WordPress [2]
    Search คำว่า wp pagenavi เพื่อหา Plugin

    หน้าผลการค้นหาจะแสดงรายการของ Plugin ที่มีชื่อเกี่ยวข้องกับคำที่เราค้นหา ซึ่งผมเจอละ Plugin ตัวที่ผมต้องการ กด Install Now

    รูปอธิบายหัวข้อ วิธีใช้ WordPress [3]
    เจอแล้ว Plugin WP-PageNavi กด Install Now

    แต่จริง ๆ แล้ว ผมแนะนำให้ทุกคนอ่านรายละเอียดของ Plugin ที่เราจะติดตั้งก่อนทุกครั้ง ก็จะดีนะครับ เพราะ Plugin เองก็มีหลายแบบ ทั้งแบบที่ติดตั้งแล้วใช้งานได้เลย ติดตั้งแล้วต้อง Settings ก่อนใช้งาน หรืออาจจะเป็น Widget (ซึ่งจะอธิบายถึง Widget ในตอนต่อ ๆ ไปครับ)

    รูปอธิบายหัวข้อ วิธีใช้ WordPress [4]
    แต่ก่อนลง Plugin อย่าลืมอ่านรายละเอียดก่อนนะครับ

    พอเรากด Install Now แล้ว ก็มากรอกรายละเอียดของ FTP

    รูปอธิบายหัวข้อ วิธีใช้ WordPress [5]
    กรอกรายละเอียดเพื่อติดตั้ง Plugin

    พอติดตั้งเสร็จ ก็ Activate Plugin เลยครับ

    รูปอธิบายหัวข้อ วิธีใช้ WordPress [6]
    ติดตั้งเสร็จแล้ว กด Activated Plugin เลยครับ

    Plugin ที่เราติดตั้งก็จะมาปรากฎที่หน้า Plugins แล้วครับ

    รูปอธิบายหัวข้อ วิธีใช้ WordPress [7]
    ในหน้า Plugins มี WP-Pagenavi ที่เราติดตั้งแล้ว

    ดูที่ตำแหน่ง 1 จะเห็นว่า Plugin ตัวนี้ของเรา เป็นแบบต้อง Settings ก่อนใช้งาน ส่วนตำแหน่งที่ 2 นั้นคือ Plugin ตัวที่เรายังไม่ได้ Activate นะครับ ซึ่งในการที่จะลบ Plugin ตัวไหน เราต้อง Deactivate ก่อนทุกครั้งนะครับ

    วิธีใช้ WordPress : ติดตั้ง Plugins โดยวิธีการ Upload

    คราวนี้ผมอยากลง Plugin ชื่อ No Right Click Images Plugin กด Download มาลงเครื่องเลยครับ

    รูปอธิบายหัวข้อ วิธีใช้ WordPress [8]
    Download File Plugin มาลงเครื่องไว้

    หลังจากนั้นมาที่หัวข้อ Plugins เลือกที่ Upload แล้วเลือก File ที่เรา Download มาเลยครับ

    รูปอธิบายหัวข้อ วิธีใช้ WordPress [9]
    Upload File Plugin ที่เรา Download มา

    หลังจากกด Install Now แล้ว ขั้นตอนต่าง ๆ ก็เหมือนกับติดตั้ง Plugin โดยวิธีการ Search และ Plugin ตัวที่เราติดตั้งก็มาปรากฎในหน้า Plugins โดยจะเห็นว่า Plugin ตัวนี้ไม่มีให้ Settings อะไร และจากที่อ่านรายละเอียดของ Plugin ก่อนที่จะโหลดแล้ว Plugin ตัวนี้จะทำงานทันทีที่เราติดตั้ง

    รูปอธิบายหัวข้อ วิธีใช้ WordPress [10]
    ติดตั้ง Plugin เสร็จแล้วด้วยวิธี Upload

    จบตอนนี้แล้ว หวังว่าทุกคนน่าจะสามารถหา Plugin ที่ถูกใจมาติดตั้งให้เว็บ WordPress ของตัวเองได้แล้วนะครับ ^^

  • WordPress : รวมเครื่องมือสำหรับทำ Theme WordPress

    WordPress : รวมเครื่องมือสำหรับทำ Theme WordPress

    เวลาที่เราจะสร้าง Theme WordPress หรือเว็บไซต์อะไรก็แล้วแต่ มันคงจะดีถ้าเรามีตัวช่วยในการทำ ตั้งแต่การทำ Layout จาก Photoshop หรือ Fireworks การเขียน Code HTML / CSS แล้วเริ่มต้นนำมาทำเป็น Theme WordPress จนกระทั่งเช็ค Theme ที่เราทำออกมา

    ซึ่งทาง Wplift ได้รวบรวมไว้ให้ตามหัวข้อดังนี้

    1. Designing Your Theme
    2. Coding the HTML / CSS
    3. Coding your WordPress Theme
    4. Testing Your Theme

    WordPress : รวมเครื่องมือสำหรับทำ Theme WordPress

    ตามไปอ่านต่อได้ที่ The Ultimate (Free!) WordPress Theme Development Toolkit

  • CSS : Firebug เพื่อนแท้ ช่วยแก้ CSS

    CSS : Firebug เพื่อนแท้ ช่วยแก้ CSS

    วันนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีการใช้ Firebug กันนะครับ โดยในการทำ CSS เนี่ย เวลาเราจะเช็คว่า CSS ที่เราเขียนมานั้น มันผิดตรงไหนหรือเปล่า หรืออยากลองแก้ CSS ดูก่อน โดยไม่อยากให้กระเทือนกับเว็บที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน Firebug นั้นน่าจะเป็น 1 ในคำตอบที่เป็นตัวช่วยที่ดีของเรา

    Firebug : โหลด Firebug

    โดย Firebug นั้นเป็น Extensions ของ Firefox สามารถโหลดมาใช้งานได้ที่ Get Firebug

    วิธีใช้ Firebug [1]
    หน้าตาเว็บ Firebug (02/11/2011)

    Firebug : การใช้งาน Firebug เบื้องต้น

    เมื่อลง Firebug เสร็จเรียบร้อยแล้ว มาลองใช้งานกัน โดยคลิ๊กขวาแล้วเลือก Inspect Element

    วิธีใช้ Firebug [2]
    คลิ๊กขวา แล้วเลือก Inspect Element

    หลังจากนั้น Firebug Panel จะปรากฎขึ้นมา

    วิธีใช้ Firebug [3]
    Firebug Panel

    Firebug : เปิด Firebug เป็นอีกหน้าต่าง

    เราสามารถเปิด Firebug เป็นอีกหน้าต่าง ได้โดยคลิ๊กที่ icon อันดับที่ 2 ที่อยู่ตรงมุมด้านขวาบนของ Firebug Panel

    วิธีใช้ Firebug [4]
    เปิด Firebug เป็นอีกหน้าต่าง

    Firebug : ส่วนประกอบของ HTML Tab ใน Firebug Panel

    สำหรับผม ในการใช้งาน Firebug นั้นจะใช้ในส่วนของ HTML Tab เป็นหลัก ดังนั้นมาดูว่า HTML Tab หน้าตาเป็นยังไงกันครับ

    วิธีใช้ Firebug [5]
    หน้าตาของ HTML Tab

    Firebug : Node View

    สำหรับ Node View ของ HTML Tab นั้นก็จะแสดง Code HTML ของเว็บให้เราดู โดยถ้าเรานำเม้าส์ไปวางไว้บน Element ไหน Firebug จะ Highlight ให้ดู ว่าแสดงผลอยู่ตรงไหน อย่างเช่นในรูป นำเม้าส์ไปวางที่ <div class=”info”> ดังนั้น Firebug ก็ Highlight ให้ดูว่า Element ตัวนี้อยู่ตรงไหน

    วิธีใช้ Firebug [6]
    Firebug Highlight ให้เราเห็นว่า <div class="info"> นั้นอยู่ตรงไหน

    แต่ถ้าเราคลิ๊กที่ Element ไหน Firebug จะ highlight แถวที่เราคลิ๊ก และในส่วน HTML Stack นั้น Element ตัวที่เราคลิ๊กจะเป็นตัวหนา โดย HTML Stack นั้นจะเรียง Element ไว้โดยด้านขวาสุดคือ Element ที่คลุม Element อื่น ๆ ไว้ตามลำดับ รวมถึง HTML Side Panel จะแสดง CSS ของ Element ตัวนั้นไว้ด้วย

    วิธีใช้ Firebug [7]
    คลิ๊กที่ Element เพื่อดูรายละเอียด

    แก้ไข Code HTML

    เราสามารถกดคลิ๊กขวาที่ Element แล้วเลือก Edit HTML เพื่อแก้ไข Code HTML ได้

    วิธีใช้ Firebug [8]
    คลิ๊กขวา เลือก Edit HTML เพื่อแก้ไข Code

    ซึ่งการแก้ไขใน Firebug เราจะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้เลย แต่เมื่อเรา Refresh หน้านั้น การแสดงผลจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก่อนที่เราจะทำการแก้ไข (แก้ไขเสร็จแล้ว ให้กดที่ Edit เพื่อกลับไปยังหน้าปรกติ)

    วิธีใช้ Firebug [9]
    เมื่อลบคำว่า "วิธีจัดให้อยู่กึ่งกลาง" ออก ผลลัพธ์ก็แสดงผลให้เห็นทันที

    Firebug : HTML Side Panel

    สำหรับ HTML Side Panel นั้น มีแบ่งออกเป็น 4 ส่วนได้แก่

    • Style : ซึ่งจะบอกรายละเอียดว่า Element ตัวนี้มี CSS ตัวใดกำกับอยู่บ้าง

      วิธีใช้ Firebug [10]
      หัวข้อ Style
    • Computed : จะบอก CSS ของ Element ตัวนั้นทั้งหมด ว่ามีค่าเป็นเท่าไหร่บ้าง

      วิธีใช้ Firebug [11]
      ค่า CSS ต่าง ๆ ของ Element
    • Layout : แสดงให้เห็นว่า Element มีขนาด มีลักษณะยังไง และเราสามารถแก้ค่าตัวเลขต่าง ๆ ได้ด้วย

      วิธีใช้ Firebug [12]
      สามารถแก้ไขค่าตัวเลขได้เลย
    • DOM : หัวข้อนี้ขอออกตัวเลยว่าไม่รู้เรื่อง ขอไม่อธิบายนะครับ >_<

    Firebug : เริ่มต้นแก้ไข CSS ด้วย Firebug

    ระงับการแสดงผล

    เราสามารถระงับการแสดงผลชั่วคราวเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงได้ โดยเอาเม้าส์ไปวางไว้หน้าตัวที่เราจะระงับ จะปรากฎ icon มาเมื่อเรากดไป จะเห็นการเปลี่ยนแปลงดังรูปเป็นตัวอย่าง

    วิธีใช้ Firebug [13]
    CSS ที่กำกับ

    ตัวอักษรที่ใหญ่ขึ้นจากการระงับขนาดตัวอักษร

    วิธีใช้ Firebug [14]
    กดเพื่อระงับการใช้งาน

    แก้ไข CSS

    คราวนี้เรามาลองแก้ไข CSS ดูนะครับ Firebug ช่วยให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงในค่าที่เราใส่ได้ยังไง

    ให้เราดับเบิ้ลคลิ๊กที่ค่าที่เราต้องการแก้ไข แล้วใส่ค่าใหม่ได้เลยครับ

    วิธีใช้ Firebug [15]
    จะเห็นว่าเพิ่ม margin-bottom แล้วมีการเปลี่ยนแปลงยังไง

    เพิ่ม CSS

    คราวนี้เวลาเขียน CSS เราก็อยากจะรู้ก่อนว่า ถ้าใส่ค่านี้เข้าไป มันจะแสดงผลยังไงนะ ถ้าเป็นแบบที่เราต้องการ จะได้นำไปใช้งานจริงเลย วิธีเพิ่ม CSS เข้าไป ก็ให้ดับเบิ้ลคลิ๊กที่บริเวณแถวปีกกาด้านล่าง จะได้เป็นดังรูป เพื่อให้เราเพิ่มค่าเข้าไป

    วิธีใช้ Firebug [16]
    ใส่ค่าที่ต้องการทดสอบเลยครับ

    ผมใส่ค่าเป็น background:#FF0; เข้าไป ก็จะได้ผลลัพธ์เป็นพื้นหลังสีเหลืองในทันที

    วิธีใช้ Firebug [17]
    พื้นหลังสีเหลือง เห็นกันทันที

    ทุกคนลองใช้ดูนะครับ ผมว่ามันทำให้การเขียน CSS ง่ายขึ้นเยอะเลยครับ

    ปล. Chrome เนี่ยมันมีให้มากับตัว Browser อยู่แล้ว ใช้งานไม่ต่างกันเท่าไหร่

    เพิ่มเติม (โดย @inhumba) : ตรง HTML Slide Panel ในส่วนของ Style สามารถแก้ไขค่าตัวเลขได้โดยใช้ปุ่มลูกศร เมื่อ cursor อยู่ที่ค่านั้นๆ ปุ่มขึ้นจะเพิ่มค่าตัวเลขทีละ 1 ปุ่มลงจะลดค่าตัวเลขทีละ 1 ปุ่ม Page Up จะเพิ่มทีละ 10 ปุ่ม Page Down จะลดทีละ 10 ครับ

  • CSS : วิธีจัดให้อยู่กึ่งกลาง กรณีรู้ความกว้างและความสูง

    CSS : วิธีจัดให้อยู่กึ่งกลาง กรณีรู้ความกว้างและความสูง

    หลายครั้งหลายหน ที่อยากจะจัดการให้ div ตัวนี้ div ตัวนั้นอยู่กึ่งกลาง แต่จะทำยังไงละ มีวิธีมาแนะนำครับ แต่ต้องเป็นกรณีที่เรารู้ความกว้าง และความสูงของ div ตัวนั้นนะครับ

    CSS : จัด div ที่เราต้องการ ให้อยู่กึ่งกลาง

    สมมติว่าเรามี div อยู่ตัวนึง อยากจะให้มันอยู่ตรงกลางจะทำยังไงดี เรารู้แล้วว่า div ตัวนี้กว้าง 200px และสูง 100px งั้นเรามาลองใช้ position แล้วให้ top:50% กับ left:50% แล้ว มันน่าจะอยู่ตรงกลางนะ ลองดู

    [css]
    #box{
    width:200px;
    height:100px;
    position:fixed;
    top:50%;
    left:50%;
    }
    [/css]

    ผลลัพธ์ที่เราได้ออกมาจะเป็นแบบนี้ครับ

    CSS : วิธีจัดให้อยู่กึ่งกลาง [1]
    ถ้าตั้งค่า top:50%; left:50%; จะได้ผลลัพธ์ดังรูป

    จะเห็นได้ว่า ตำแหน่งที่มันใช้วางตำแหน่ง จะยึดหลักไว้ที่มุมด้านซ้ายบน ทำให้ top:50%; left:50%; ให้ผลลัพธ์ในแบบนี้ ดังนั้นเราจะทำต่อโดยใช้ margin เพื่อดึง div ให้มาอยู่ตรงกึ่งกลาง คราวนี้ค่าที่เราจะใช้คิดค่ามาจากเอาความกว้างหาร 2 แล้วนำไปใส่เป็นค่าลบให้ margin-left และเอาค่าความสูงหาร 2 แล้วนำไปใส่เป็นลบให้ margin-top ซึ่งความกว้าง 200px และความสูง 100px จึงได้ค่าออกมาเป็น

    [css]
    #box{
    width:200px;
    height:100px;
    position:fixed;
    top:50%;
    left:50%;
    margin-left:-100px;
    margin-top:-50px;
    }
    [/css]

    จะทำให้ div ขยับตามที่เราตั้งค่าไว้

    CSS : วิธีจัดให้อยู่กึ่งกลาง [2]
    #box จะขยับไปด้านบน และด้านซ้ายตามรูป

    ผลลัพธ์จึงออกมาเป็นดังรูป

    CSS : วิธีจัดให้อยู่กึ่งกลาง [3]
    ในที่สุด #box ก็อยู่กึ่งกลางแล้ว
  • [WordPress] Cheat Sheet สำหรับเขียน Theme WordPress เบื้องต้น

    [WordPress] Cheat Sheet สำหรับเขียน Theme WordPress เบื้องต้น

    ทาง WP TUTS+ ได้ทำ Cheat Sheet สำหรับการทำ Theme WordPress เบื้องต้นไว้ เราไปดูกัน ว่ามีอะไรบ้างครับ

    โครงสร้าง

    Cheat Sheet Theme WordPress [1]

    แนวทางการเขียน Loop

    [Wordpress] Cheat Sheet สำหรับเขียน Theme WordPress เบื้องต้น

    วิธีการเขียน Loop

    Cheat Sheet WordPress [3]